8 ภาษีที่ผู้ประกอบการต้องรู้จัก
ภาษีหลัก ๆ
ที่ผู้ประกอบการต้องทำความรู้จัก มีทั้งหมด 8 ภาษี คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ภาษีสรรพสามิต ภาษีรถ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
เพื่อการทำธุรกิจที่โปร่งใส 8 ภาษีที่ผู้ประกอบการต้องรู้จักดังนี้
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้ที่ต้องชำระคือ นิติบุคคลตามมาตร 39 ซึ่งที่มีเงินได้พึงประเมิน
โดยมีหน้าที่เสียภาษีทุกรอบระยะเวลาบัญชี
ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะต้องทำการปรับปรุงรายจ่ายตามงบการเงินให้เป็นรายจ่ายทางภาษี การคำนวณภาษี คือ กำไรสุทธิ คูณด้วย อัตราภาษี จะได้ผลลัพธ์
เป็นภาษีเงินได้ (กำไรสุทธิ X อัตราภาษี = ภาษีเงินได้) สำหรับอัตราภาษีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
คิดภาษีร้อยละ 20 ส่วนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คิดเป็นกำไรสุทธิ หากน้อยกว่า 300,000 บาท จะได้รับการยกเว้น และตั้งแต่ 300,000 – 1,000,000 คิดเป็นร้อยละ 15 หรือ 1,000,000 ขึ้นไป ร้อยละ 20การยื่นภาษีนั้น แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ ภ.ง.ด. 51 ภาษีครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
ยื่นภายใน 2 เดือน นับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือน และภ.ง.ด. 50 ภาษีเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
ยื่นภายใน 150 วัน นับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ในกรณีที่ผู้ประกอบการยื่นแบบภาษีในช่องทางออนไลน์ กรมสรรพากรมีการขยายเวลาให้อีก 8 วัน
นับจากวันครบกำหนด โดยสามารถชำระได้ที่ กรมสรรพากร ธนาคารพาณิชย์ E-Payment และ ที่ทำการไปรษณีย์ ทั้งนี้หากผู้ประกอบการต้องการเงินภาษีขอคืน
จะต้องกรอกส่วนคำร้อง ฯ ในแบบ ภ.ง.ด. 50 ซึ่งกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้จัดการจะต้องลงลายมือชื่อและมีตราประทับนิติบุคคล
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ได้แก่2.1. ผู้ประกอบกิจการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี2.2. ผู้ประกอบกิจการที่ต้องมีการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่อยู่บังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม2.3. ผู้ประกอบการที่อยู่นอกประเทศไทย
และได้ขายสินค้าหรือให้บริการในประเทศเป็นปกติหรือมีตัวแทนอยู่ในประเทศไทยการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
คือการจ่ายร้อยละ 7 ของราคาสินค้า ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี
โดยผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปไม่ว่าเดือนนั้นจะมีรายรับหรือไม่ก็ตาม
กรณียื่นภาษีแบบภาษีผ่านช่องทางระบบออนไลน์ กรมสรรพากร ขยายเวลาให้อีก 8 วัน
นับจากวันที่ครบกำหนด ส่วนกรณีมีเงินขอคืน จะต้องกรอกส่วนคำร้อง ฯ ในแบบ ภ.พ.30 หากไม่กรอกคำร้อง
กรมสรรพากรจะนำภาษีที่ชำระเกินเดือนนี้ไปถือเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
เป็นภาษีที่ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีทุกเดือน
โดยกิจการที่ต้องเสียภาษีประเภทนี้คือกิจการธนาคาร ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์
ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ภาษีร้อยละ 3.0 ส่วนกิจการรับประกันชีวิต
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 กิจการโรงจำนำ อัตราภาษีร้อยละ 2.5 การค้าอสังหาริมทรัพย์ อัตราภาษีร้อยละ 3.0 การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 หรือได้รับการยกเว้น
และการซื้อขายคืนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
อัตราภาษีร้อยละ 3.0 รวมถึงธุรกิจแฟ็กเตอริง อัตราภาษีร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ในกรณีมีเงินภาษีขอคืน
จะต้องกรอกแบบ ค. 10
- ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นภาษีเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร
สำหรับทรัพย์สินที่อยู่ในต่างจังหวัดสามารถติดต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อยื่นชำระภาษีได้
สำหรับผู้ที่ต้องเสียภาษีประเภทนี้คือ
เจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง1. โรงเรือน อาคาร สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ 2. ที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนอาคาร สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ การยื่นแบบเพื่อขอประเมินภาษี
เป็นการแจ้งรายการทรัพย์สินและค่าเช่า หรือประโยชน์อื่นที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้
โดยยื่นขอประเมินภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ที่สำนักงานเขต หรือ สำนักการคลัง
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะแจ้งยอดค่าภาษี เรียกว่า ภ.ร.ด. 8 มีอัตราภาษีร้อยละ 12.5 ของค่าเช่าทรัพย์สินรายปี
สามารถชำระภาษีได้ที่สำนักงานเขต หรือ สำนักการคลัง และธนาคารกรุงไทย
กรณียื่นอุทธรณ์สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ โดยยื่นอุทธรณ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ
ภ.ร.ด. 9 ได้ที่สำนักงานเขต ภายใน 15 วัน
- ภาษีสรรพสามิต
ภาษีสรรพสามิต ประกอบด้วย ภาษีน้ำมัน
อัตราภาษีขึ้นอยู่กับชนิดน้ำมัน ภาษีเพื่อมหาดไทย ร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7 ของราคาขายส่งและค่าการตลาด กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่รัฐบาลเรียกเก็บผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมัน
โดยโครงสร้างราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับแนวนโยบายการบริหารภาษี
หรือนโยบายพลังงานของภาครัฐ
- ภาษีรถ
ในกรณีกิจการดังกล่าวมีการใช้รถบรรทุกขนาดกลางขึ้นไป
ในการขนส่งสินค้า โดยมีน้ำหนัก 15,300 กิโลกรัมเมื่อบรรทุกสินค้า ทั้งนี้เจ้าของรถยนต์มีหน้าที่เสียภาษีรถประจำทุกปี
มีอัตราภาษีรถที่ใช้ ในการขนส่งส่วนบุคคล คิดตามน้ำหนักรถยนต์ดังนี้
รถยนต์น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม อัตราภาษี
อยู่ที่ 150 บาท
500 – 750 กิโลกรัม อัตราภาษี 300 บาท
751 – 1,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 450 บาท
1,001 – 1,250 กิโลกรัม อัตราภาษี 800 บาท
1,251 – 1,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,000 บาท
1,501 – 1,750 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,300 บาท
1,751 – 2,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,600 บาท
2,001 – 2,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,900 บาท
2,501 – 3,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,200 บาท
3,001 – 3,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,400 บาท
3,501 – 4,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,600 บาท
4,001 – 4,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,800 บาท
4,501 – 5,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 3,000 บาท
5,001 – 6,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 3,200 บาท
6,001 – 7,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 3,400 บาท
7,001 กิโลกรัมขึ้นไป อัตราภาษี 3,600 บาท
ส่วนเอกสารประกอบการยื่นชำระได้แก่
หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถ หรือสำเนา หลักฐานการจัดให้มีประกันภัย
และรถขนส่งทุกประเภท ต้องผ่านการตรวจสภาพก่อนเสียภาษี โดยต้องยื่นชำระภาษี
ภายในระยะเวลไม่เกิน 90 วัน ก่อนสิ้นอายุภาษี สำหรับรถยนต์ที่มีอายุ 6 ถึง 10 ปี
จะได้รับส่วนลดภาษี ปีละร้อยละ 10 ส่วนรถยนต์ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป
จะต้องเข้ารับรับการตรวจสอบรถยนต์ก่อนยื่นชำระทุกครั้ง
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
สำหรับนายจ้างที่มีลูกจ้างต้องมีการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม
โดยนายจ้างมีหน้าที่นำส่งสมทบทั้งส่วนของนายจ้างและลูกจ้างภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ทั้งนี้หักเงินสมทบเพื่อนำส่ง ประมาณ 83 – 750 บาท หรือร้อยละ 5 ของค่าจ้าง
สำหรับฐานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบ ต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
8 ภาษีที่ผู้ประกอบการต้องรู้จัก
ภาษีหลัก ๆ
ที่ผู้ประกอบการต้องทำความรู้จัก มีทั้งหมด 8 ภาษี คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ภาษีสรรพสามิต ภาษีรถ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
เพื่อการทำธุรกิจที่โปร่งใส 8 ภาษีที่ผู้ประกอบการต้องรู้จักดังนี้
ในกรณีกิจการดังกล่าวมีการใช้รถบรรทุกขนาดกลางขึ้นไป
ในการขนส่งสินค้า โดยมีน้ำหนัก 15,300 กิโลกรัมเมื่อบรรทุกสินค้า ทั้งนี้เจ้าของรถยนต์มีหน้าที่เสียภาษีรถประจำทุกปี
มีอัตราภาษีรถที่ใช้ ในการขนส่งส่วนบุคคล คิดตามน้ำหนักรถยนต์ดังนี้
รถยนต์น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม อัตราภาษี
อยู่ที่ 150 บาท
500 – 750 กิโลกรัม อัตราภาษี 300 บาท
751 – 1,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 450 บาท
1,001 – 1,250 กิโลกรัม อัตราภาษี 800 บาท
1,251 – 1,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,000 บาท
1,501 – 1,750 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,300 บาท
1,751 – 2,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,600 บาท
2,001 – 2,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 1,900 บาท
2,501 – 3,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,200 บาท
3,001 – 3,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,400 บาท
3,501 – 4,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,600 บาท
4,001 – 4,500 กิโลกรัม อัตราภาษี 2,800 บาท
4,501 – 5,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 3,000 บาท
5,001 – 6,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 3,200 บาท
6,001 – 7,000 กิโลกรัม อัตราภาษี 3,400 บาท
7,001 กิโลกรัมขึ้นไป อัตราภาษี 3,600 บาท
- เงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
สำหรับกิจการที่มีลูกจ้างตามที่กำหนดนายจ้างมีหน้าที่นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน
ภายในวันที่ 31 มกราคมของทุกปี คิดร้อยละ 0.2 – 1.0 ของค่าจ้าง ฐานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบต้องไม่เกิน
240,000 บาทต่อคนต่อปี ผู้ประกอบการต้องส่งเงินสมทบ
และรายงานค่าจ้างปีที่ผ่านมาภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์
หากเงินที่เก็บไว้ปีก่อนน้อยกว่าจำนวนที่ต้องชำระจริง จะถูกเรียกเก็บเพิ่ม ภายใน 31 มีนาคม
และหากเงินสมทบที่เก็บไว้ปีก่อนมากกว่าจำนวนที่ชำระไว้
จะได้รับเงินส่วนที่จ่ายเกินคืน
ผู้ประกอบการที่เริ่มต้นทำธุรกิจ
หรือสนใจลงทุนควรศึกษาความรู้ในเรื่องการชำระภาษีให้เป็นอย่างดี เนื่องจาก
หากละเลยการชำระภาษีเป็นเวลานาน หากถูกตรวจสอบและมีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
เป็นจำนวนมากเนื่องจากการสะสมมาเป็นเวลานาน
รวมถึงยังเป็นเหตุที่ทำให้เสียชื่อเสียง ในด้านความรับผิดชอบอีกด้วย